ฟ้าผ่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน เพราะมีพลังงานที่มากมายและสามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร สามารถสังเกตและป้องกันได้อย่างไร ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟ้าผ่า และแนะนำวิธีการป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าให้คุณได้รู้
ฟ้าผ่าเกิดจากอะไร
ฟ้าผ่าเกิดจากการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าออกจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือ เมฆคิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus) ซึ่งเป็นเมฆที่มีขนาดใหญ่และสูงไม่มากนัก โดยฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าในอากาศ โดยมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนที่ของกระแสอากาศและหยดน้ำในเมฆคิวมูโลนิมบัส ซึ่งเป็นก้อนเมฆขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 20 กิโลเมตรจากพื้นดิน การไหลเวียนของอากาศทำให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างบริเวณต่างๆ ของเมฆและพื้นดิน ทำให้เกิดสนามไฟฟ้าขนาดใหญ่
เมื่อสนามไฟฟ้ามีค่าสูงพอ จะทำให้ประจุไฟฟ้าถ่ายเทระหว่างหรือภายในเมฆ ทำให้เกิดแสงสว่างที่เรียกว่า “ฟ้าแลบ” หรือระหว่างเมฆกับพื้นดินซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า “ฟ้าผ่า” การถ่ายเทประจุไฟฟ้าในอากาศยังทำให้อากาศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดช็อกเวฟ (Shock wave) และส่งเสียงดังที่เรียกว่า “ฟ้าร้อง”
การปลดปล่อยประจุไฟฟ้าจากเมฆสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลัก คือ
– ฟ้าแลบ: เป็นการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าในบริเวณใต้หรือข้างในของเมฆ
– ฟ้าผ่า: เป็นการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าจากเมฆไปสู่พื้นผิวของโลก
Previous image
Next image
ฟ้าผ่ามีอันตรายอย่างไร
ฟ้าผ่ามีอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งของที่อยู่บนพื้นดินหรือผืนน้ำ เพราะฟ้าผ่ามีพลังงานสูงมากถึงประมาณ 1 พันล้านโวลต์ และกระแสไฟฟ้าประมาณ 20,000-30,000 แอมแปร์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของเมืองใหญ่หนึ่งเมือง เมื่อฟ้าผ่าลงมาที่พื้นดิน กระแสไฟฟ้าจะแผ่ออกไปในลักษณะคล้ายกับรากของต้นไม้ ทำให้เกิดความร้อนสูงถึง 30,000 องศาเซลเซียส หรือประมาณห้าเท่าของอุณหภูมิในแก่นของดวงอาทิตย์
ถ้าคนหรือสัตว์ถูกกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่ากระทบ เขาจะได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ เพราะกระแสไฟฟ้าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของระบบประสาทและหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้น หรือเกิดการช็อคไฟฟ้า นอกจากนี้กระแสไฟฟ้ายังทำให้เกิดการเผาไหม้บนผิวหนัง ผ้า เส้นผม และวัตถุที่สวมใส่ เช่น เครื่องประดับ เข็มขัด กระดุม
ถ้าสิ่งของที่เป็นโลหะหรือตัวนำไฟฟ้าถูกกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่ากระทบ เขาจะได้รับความเสียหายได้ เพราะโลหะหรือตัวนำไฟฟ้าจะถูกลวกควัน ลุกไหม้ หรือละลาย เช่น เสาไฟ สายโทรศัพท์ โครงสร้างโลหะ เป็นต้น
Previous image
Next image
วิธีการสังเกตและวิธีป้องกัน
การป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าควรเริ่มจากการสังเกตสถานการณ์ของพยากรณ์อากาศ โดยควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา สนามกีฬา ชายหาด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น เมื่อมีเมฆดำเคลื่อนตัวต่ำใกล้ตัวคุณ
การเกิดฟ้าผ่านั้นยังไม่สามารถคาดเดาได้ แต่มีวิธีการสังเกตสัญญาณความเสี่ยงได้ โดยหากมีเมฆฝนฟ้าคะนองอยู่บนเหนือศีรษะแล้วปรากฏว่าเส้นขนบนผิวหนังลุกชันขึ้น หรือเส้นผมบนศีรษะลุกตั้งขึ้น แสดงว่ากำลังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า
วิธีการป้องกันตัวจากการถูกฟ้าผ่ามีดังนี้
– หากอยู่ในที่โล่งให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น **อาคารขนาดใหญ่** แต่อย่าอยู่ใกล้ผนังอาคาร ประตูและหน้าต่าง หรือควรหลบใน**รถยนต์ที่ปิดกระจกมิดชิด** แต่อย่าสัมผัสกับตัวถังรถ
– หากหาที่หลบไม่ได้ ให้**หมอบนั่งยอง** ๆ ให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด โดยแนบมือทั้งสองข้างติดกับเข่า แล้ว**ซุกศีรษะเข้าไประหว่างเข่า** ส่วนเท้าให้ชิดกันหรือ**เขย่งปลายเท้า** เพื่อลดพื้นที่สัมผัสกับพื้นให้น้อยที่สุด (และอย่ากางขาโดยเด็ดขาด)
– **อย่ายืน**หลบอยู่ใต้**ต้นไม้สูง**และบริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้ หรืออยู่ในที่สูงและใกล้ที่สูง
– **อย่าใช้โทรศัพท์มือถือ** โทรศัพท์บ้าน หรือ**เล่นอินเทอร์เน็ต**ในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพราะฟ้าอาจผ่าลงมาที่เสาสัญญาณหรือเสาอากาศที่อยู่นอกบ้าน และกระแสไฟจากฟ้าผ่าจะวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ทำให้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ รวมทั้งผู้ใช้งานได้รับอันตราย
– **หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับโลหะ**ทุกชนิด เนื่องจากโลหะเป็นตัวนำไฟฟ้าและ**อย่าอยู่ใกล้สายไฟ**